เรนาสโซ มอเตอร์ เผยโฉม Lamborghini Urus SE ซูเปอร์เอสยูวีปลั๊กอินไฮบริดรุ่นแรกของแบรนด์ ทรงพลังด้วยกำลังเครื่องรวม 800 CV วิ่งไกลถึง 60 กม. ในโหมดไฟฟ้า พร้อมประสิทธิภาพและประสบการณ์การขับขี่ที่ดีที่สุดในคลาสตามแบบฉบับลัมโบร์กินี

   กรุงเทพฯ16พฤษภาคม2567 – บริษัทเรนาสโซมอเตอร์จำกัดตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ ลัมโบร์กินีอย่างเป็นทางการรายเดียวในประเทศไทยจัดงานเปิดตัวLamborghini Urus SEซูเปอร์เอสยูวีระบบปลั๊กอินไฮบริดรุ่นแรกของลัมโบร์กินี ท่ามกลางแขกผู้มีเกียรติและบุคคลสำคัญแถวหน้าของเมืองไทยร่วมงานมากกว่า 300 ท่าน ณ The Summer House บ้านปาร์คนายเลิศโดยUrus SEนำเสนอดีไซน์รถยนต์แนวใหม่เพิ่มประสิทธิภาพอากาศพลศาสตร์เทคโนโลยีช่วยการขับขี่ที่เหนือชั้นและระบบส่งกำลัง800CV ที่ไร้คู่แข่งชูเวอร์ชันPHEV (Plug-in HybridElectricVehicle) เป็นรุ่นท็อปในตระกูลUrusทั้งในด้านความสบายประสิทธิภาพการปล่อยไอเสียสู่ชั้นบรรยากาศและประสบการณ์ที่สนุกสนานในการขับขี่ผสานหัวใจสำคัญทั้ง 2 ด้านของแบรนด์คือระบบการเผาไหม้และระบบไฟฟ้าเพื่อให้ได้แรงบิดและกำลังเครื่องสูงสุดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ทำให้Urus SE เป็นรถยนต์ที่มีความโดดเด่นที่สุดในรถยนต์คลาสเดียวกันโดยสามารถลดการปล่อยไอเสียสู่ชั้นบรรยากาศได้มากถึง80%

   มร.ฟรานเชสโก้สกาดาโอนิผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกออโตโมบิลิลัมโบร์กินีกล่าวว่า “ประเทศไทยถือเป็นตลาดที่สำคัญในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และผมรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้นำเสนอ Urus SE ให้แก่แฟน ๆ ในประเทศไทย เพราะ Urus SEได้นำเราเข้าสู่ยุคใหม่แห่งวิวัฒนาการรถยนต์ซูเปอร์เอสยูวีในช่วงการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบไฟฟ้าและยังเป็นก้าวสำคัญของลัมโบร์กินีซึ่งผมเชื่อมั่นว่ารถยนต์รุ่นนี้จะสร้างนิยามใหม่ให้แบรนด์ของเราได้ก้าวไปอีกขั้น ตลอดจนร่วมปฏิวัติโลกยานยนต์ด้วยซูเปอร์เอสยูวี อันเป็นเอกลักษณ์ของเรา”

 

   อภิชาติลีนุตพงษ์ประธานกรรมการบริษัทเรนาสโซมอเตอร์จำกัดในฐานะตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ ลัมโบร์กินีอย่างเป็นทางการรายเดียวในประเทศไทยกล่าวว่า “หลังจากลัมโบร์กินีได้เผยโฉม Urus SEพร้อมกันทั่วโลกในช่วงเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ในวันนี้นับเป็นโอกาสอันดีที่สาวกกระทิงดุในเมืองไทยจะได้ยลโฉมUrus SE คันจริงเป็นครั้งแรกอย่างใกล้ชิด ซึ่งเรามั่นใจว่า ยนตรกรรมรุ่นใหม่ล่าสุดนี้จะตอบโจทย์ทุกประสบการณ์การขับขี่และได้รับการตอบรับที่ดีจากแฟนๆลัมโบร์กินีทั่วประเทศอย่างแน่นอน”

ประสบการณ์การขับขี่ที่ไร้คู่แข่ง

   Urus SE มอบประสบการณ์การขับขี่อันไร้คู่แข่งด้วยเครื่องยนต์ระบบปลั๊กอินไฮบริด ซึ่งเพิ่มประสิทธิภาพและพลศาสตร์ของยานยนต์ให้โลดแล่นได้อย่างเต็มกำลังบนทุกเส้นทางและการขับขี่ทุกรูปแบบ มอบทั้งแรงบิดและกำลังเครื่องสูงสุดในทุกรอบเครื่องยนต์ด้วยโซลูชันเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดอาทิ การใช้ระบบเวคเตอร์แรงบิดไฟฟ้าระหว่างเพลาทั้งสองและระบบเฟืองท้ายไฟฟ้า

   “ภารกิจของโครงการนี้ แน่นอนว่าคือการนำเสนอประสิทธิภาพการขับขี่เหนือระดับที่ผสานกับลักษณะเด่นในดีเอ็นเอของแบรนด์ลัมโบร์กินี” มร.รูเว็นโมห์ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคนิคลัมโบร์กินีกล่าว “Urus SE ถูกกำหนดให้เป็นรุ่นท็อปของคลาสทั้งในด้านความเพลิดเพลินของการเดินทางและพลศาสตร์การขับขี่โดยเป็นรถยนต์ที่ผสานคุณสมบัติที่แตกต่างกันไว้อย่างลงตัวไม่ว่าจะเป็นความสะดวกสบายที่สมบูรณ์แบบ และในขณะเดียวกันก็มอบสมรรถนะที่เหนือระดับและการขับขี่ที่สนุกสนานมากที่สุดเพื่อสร้างประสบการณ์ที่ไม่มีรถยนต์รุ่นใดจะทำได้เทียบเท่า”

   เครื่องยนต์ทวินเทอร์โบV8 4.0 ได้ถูกนำมาพัฒนาใหม่เพื่อให้สามารถทำงานกับระบบส่งกำลังไฟฟ้าได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ทำให้มีกำลังเครื่องถึง620CV (456kW)และแรงบิด800Nm โดยระบบสันดาปได้ถูกผสานเข้ากับระบบส่งกำลังไฟฟ้าเพื่อมอบกำลังเครื่อง 192CV (141kW)และแรงบิด483Nmและเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ทีมวิศวกรจึงให้ความสำคัญกับการปรับจูนการทำงานที่สอดคล้องกันระหว่างเครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE)กับมอเตอร์ไฟฟ้าจนได้กำลังเครื่องสูงสุดที่800CV พร้อมการันตีกำลังเครื่องเฉลี่ยดีที่สุดในทุก ๆ โหมดการขับขี่และสภาพพื้นผิวถนนพร้อมติดตั้งแบตเตอรีลิเทียม25.9kWh บริเวณใต้พื้นห้องเก็บสัมภาระด้านบนระบบเฟืองท้ายไฟฟ้า

   มอเตอร์ซิงโครนัสชนิดแม่เหล็กถาวร (PermanentMagnetSynchronous Motor)ซึ่งติดตั้งอยู่ในระบบเกียร์อัตโนมัติ8 ระดับสามารถช่วยบูสต์เครื่องยนต์สันดาปV8 และยังเป็นตัวสร้างแรงฉุดได้อีกด้วยทำให้Urus SE เป็นรถยนต์ขับเคลื่อน4ล้อด้วยระบบไฟฟ้า100% ที่สามารถเดินทางได้ไกลกว่า60 กม.เมื่อขับขี่ด้วยโหมดไฟฟ้า (EV Mode)เพียงอย่างเดียว

   เทคโนโลยีใหม่ที่ถูกนำมาใช้ในUrus SE เป็นครั้งแรกคือระบบเวคเตอร์แรงบิดไฟฟ้าตามแนวยาวรูปแบบใหม่ที่ติดตั้งไว้บริเวณกลางตัวรถ พร้อมคลัตช์อิเลกโตรไฮดรอลิกแบบมัลติเพลตซึ่งช่วยสร้างแรงบิดแปรผันระหว่างเพลาหน้าและเพลาหลังได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำหน้าที่ประสานการทำงานให้สอดรับกับเฟืองท้ายไฟฟ้าบนเพลาหลังอย่างราบรื่น จะคอยกระจายแรงบิดเมื่อทำการเบรกทำให้รถยนต์สามารถควบคุมอาการoversteerได้แบบ “on demand”เพื่อมอบสัมผัสอันเร้าใจเสมือนขับขี่รถยนต์สายพันธุ์สปอร์ตตัวจริง

   ทั้งสองระบบที่กล่าวมา ได้รับการออกแบบและปรับจูนการทำงานให้เหมาะสมกับการยึดเกาะถนนทุกรูปแบบและทุกสไตล์การขับขี่ มอบแรงฉุดและการตอบสนองที่ฉับไวสูงสุดไม่ว่าจะเป็นการพุ่งทะยานในสนามแข่งหรือวิ่งตะลุยไปบนเนินทรายพื้นน้ำแข็งหรือทางดิน

   Urus SE เป็นรถยนต์ที่โดดเด่นที่สุดในคลาสเดียวกันด้วยแรงบิดและกำลังเครื่องที่เหนือล้ำในทุกรอบเครื่องยนต์และทุกสภาพถนน โดยมอบกำลังเครื่องยนต์สูงสุดถึง800CV (588kW) ที่6,000 รอบต่อนาทีและสามารถให้แรงบิดรวม950Nm ที่1,750 รอบต่อนาทีและสูงสุดที่5,750 รอบต่อนาทีจึงมอบประสิทธิภาพสูงสุดในคลาสในทุกแง่มุมของการขับขี่ ผลลัพธ์อันน่าประทับใจนี้มาจากการปรับปรุงประสิทธิภาพด้านอัตราส่วนกำลังต่อน้ำหนักเครื่อง (Weight-to-Power Ratio)ที่3.13 kg/CV (เปรียบเทียบกับ3.3ในรุ่นUrus S) โดยUrus SE สามารถเร่งความเร็วจาก0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง3.4 วินาที (Urus S ที่3.5 วินาที) และจาก0-200 กม./ชม. ในเวลาเพียง11.4 วินาที (Urus S ที่12.5 วินาที)สามารถทำความเร็วสูงสุดที่312 กม./ชม. (Urus S ที่305 กม./ชม.) ข้อมูลเหล่านี้ทำให้ SE เป็นรถยนต์ที่ทรงพลังสูงสุดของตระกูลUrusและสร้างมาตรฐานใหม่ในกลุ่มรถยนต์ซูเปอร์เอสยูวี

 

งานออกแบบรถยนต์และอากาศพลศาสตร์

   Urus SE คือการสร้างนิยามใหม่ให้กับงานออกแบบรถยนต์อันโฉบเฉี่ยวที่เปลี่ยนแนวคิดของดีไซน์เอสยูวีไปอย่างสิ้นเชิง พร้อมนำเสนอเส้นสายใหม่ที่สื่อถึงการอัปเกรดประสิทธิภาพระบบอากาศพลศาสตร์ได้อย่างชัดเจน

   ดีไซน์ของUrus SE สะท้อนถึงรูปทรงแบบพลศาสตร์ที่เน้นภาพลักษณ์ความเป็นรถสปอร์ตและความแข็งแกร่งบึกบึนได้อย่างโดดเด่น ส่วนหน้าหรูหราด้วยการออกแบบฝากระโปรงทรงใหม่แบบFloating Design โดยลบเส้นสายที่เป็นตัวแบ่งส่วนต่าง ๆ ทิ้งไปเพื่อเสริมความรู้สึกลื่นไหลต่อเนื่องและเน้นย้ำถึงรูปทรงแบบนักกีฬา ชวนให้นึกถึงแนวคิดการออกแบบแนวใหม่ที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในรุ่นRevueltoนอกจากนี้ยังเสริมด้วยองค์ประกอบใหม่ ๆ อีกมากมายทั้งชุดไฟหน้าที่ใช้เทคโนโลยีMatrix LED ซึ่งเป็นดีไซน์ซิกเนเจอร์ใหม่ล่าสุดที่มีแรงบันดาลใจมาจากหางวัวกระทิงซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของแบรนด์ลัมโบร์กินีนั่นเองตลอดจนการออกแบบส่วนกันชนท้ายและตะแกรงหน้าใหม่ในทุกรายละเอียด

   “การออกแบบและสัดส่วนของUrusยังคงสวยงามอย่างไม่มีสิ่งใดเทียบได้และยังสะท้อนถึงความเป็นลัมโบร์กินีอย่างไร้ที่ติ” มร.มิตจาโบร์เคิร์ตผู้อำนวยการฝ่ายการออกแบบลัมโบร์กินีกล่าว “ในขณะเดียวกันUrus SE แสดงถึงวิวัฒนาการอันเปี่ยมเสน่ห์อย่างยิ่งซึ่งสอดคล้องกับปรัชญาการออกแบบระดับไอคอนิกที่ยอดเยี่ยมของเรา และที่สำคัญคือการมอบสัมผัสอันหรูหรายิ่งกว่าเดิมด้วยโปรแกรมการตกแต่งแบบAd Personamโดยเรานำแรงบันดาลใจมาจากรุ่นRevueltoพร้อมฝากระโปรงรถแบบFloatingเพื่อมอบเส้นสายที่สะอาดตาและรูปทรงส่วนหน้าที่แข็งแกร่งบึกบึนโดยระบบไฟหน้าที่ล้ำสมัยได้ผสานดีไซน์ซิกเนเจอร์แบบDRLไว้อย่างลงตัวการออกแบบส่วนท้ายให้ความสำคัญกับช่วงกว้าง ตกแต่งด้วยดิฟฟิวเซอร์แบบใหม่และปรับช่องติดป้ายทะเบียนรถให้มีระดับต่ำลง ดีไซน์ตะแกรงหลังนำแรงบันดาลใจมาจากรถยนต์ซูเปอร์สปอร์ตของลัมโบร์กินีอย่างGallardoสำหรับการออกแบบห้องโดยสารภายในยังคงสืบทอดปรัชญา “Feellike a pilot”เพื่อยกระดับปฏิสัมพันธ์ระหว่างนักขับและระบบดิจิทัลภายใน”

   สำหรับการออกแบบส่วนท้าย มีการจัดสรรพื้นที่เก็บสัมภาระใหม่ทั้งหมดโดยนำรูปทรงที่ต่อเนื่องมาจากรุ่นGallardoโดยผสานเส้นสายต่าง ๆ ได้อย่างกลมกลืนเชื่อมต่อชุดไฟท้ายด้วยดวงไฟรูปตัว“Y” และดิฟฟิวเซอร์หลังรูปแบบใหม่ซึ่งทำให้รถยนต์มีสัดส่วนคล้ายสปอร์ตมากยิ่งขึ้น ส่วนสปอยเลอร์ใหม่ยังทำงานร่วมกับดิฟฟิวเซอร์หลังในการช่วยเพิ่มแรงกดด้านหลังขณะวิ่งด้วยความเร็วสูงเพิ่มขึ้นถึง 35% เมื่อเปรียบเทียบกับรุ่นUrus Sจึงเพิ่มเสถียรภาพในการขับขี่มากยิ่งขึ้น

   ประสิทธิภาพด้านอากาศพลศาสตร์ได้ถูกยกระดับขึ้นด้วยการออกแบบท่อระบายลมที่ส่วนล่างตัวรถและท่อลมเข้าแบบปรับปรุงใหม่ พร้อมออกแบบช่องทางลมให้ต่อเนื่องมากขึ้นเพื่อลดความร้อนของชิ้นส่วนและเครื่องยนต์ได้ดีกว่าเดิม ซึ่งมีประสิทธิภาพมากกว่ารุ่นUrusเดิมถึง15% การออกแบบส่วนหน้ายังผสานกับการเพิ่มประสิทธิภาพอากาศพลศาสตร์ด้านล่างเพื่อช่วยปรับปรุงการไหลเวียนของอากาศและระบายความร้อนให้กับระบบเบรก ซึ่งมีประสิทธิภาพการระบายความร้อนด้วยอากาศสูงขึ้นถึง30% เมื่อเปรียบเทียบกับระบบเก่า

การตกแต่งรถยนต์ในสไตล์ของคุณ

   Urus SE เสนอออปชันการตกแต่งที่เหนือชั้นที่สุดในรถยนต์คลาสเดียวกันโดยมีทั้งล้ออัลลอยรุ่นอัปเดตใหม่พร้อมดีไซน์Galanthusขนาด23 นิ้วเป็นรุ่นมาตรฐานพร้อมยางPirelli P Zeroรุ่นใหม่นอกจากนี้ยังมีโทนสีตัวรถให้เลือกมากมายและออปชันการตกแต่งอีกมากกว่า100 องค์ประกอบพร้อมนำเสนอ2 โทนสีใหม่ในวันเปิดตัวทั้งโทนสีArancio Egon (สีส้ม)ที่จับคู่กับการตกแต่งห้องโดยสารโทนสีArancio Apodis(สีส้ม) และโทนสีBianco Sapphirus(สีขาว) จับคู่กับการตกแต่งห้องโดยสารโทนสีTerra Kedros (สีน้ำตาลแดง)

   ออปชันการตกแต่งภายในยังมอบทางเลือกคู่สีอีกกว่า47 แบบและการเย็บตะเข็บตกแต่งถึง4สไตล์ (Q-citurastitching)พร้อมออปชันในโปรแกรมการตกแต่งAd Personamที่ช่วยให้เจ้าของUrus SE สร้างสรรค์รถยนต์ให้มีเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใครเพียงหนึ่งเดียวในโลก

ดีไซน์ห้องโดยสารภายใน

   การตกแต่งภายในได้รับการอัปเดตใหม่เพื่อขับเน้นดีไซน์ระดับซิกเนเจอร์ “Feellike a pilot”อันเป็นเสมือนดีเอ็นเอของลัมโบร์กินี โดยนำเสนอฟีเจอร์ใหม่มากมายบริเวณแผงหน้าปัดด้านหน้าและยกระดับภาพลักษณ์รถยนต์น้ำหนักเบาเหมือนกับในรุ่น Revuelto

   หน้าจอขนาดใหญ่12.3 นิ้วซึ่งใหญ่กว่ารุ่นเดิมถูกติดตั้งไว้บริเวณกลางแผงหน้าปัดและมอบการแสดงผลกราฟิก Human MachineInterface (HMI) เวอร์ชันใหม่ที่ใช้งานได้ง่ายดายและเป็นธรรมชาติมากขึ้นเหมือนที่พบได้ในรุ่น RevueltoทีมนักออกแบบLamborghini Centro Stile ยังให้ความสำคัญกับการออกแบบท่อลมโดยตกแต่งด้วยวัสดุอลูมิเนียมเคลือบผิวในรูปทรงตัว“Y”อันเป็นเอกลักษณ์และยังหุ้มส่วนบานตกแต่งแผงหน้าปัดเบาะนั่งด้วยวัสดุใหม่นอกจากนี้ยังออกแบบแผงปุ่มกดแบบกลไกเพื่อให้ได้สัมผัสของการกดที่สมจริง

   ผู้ขับยังสามารถใช้งานทั้งแผงควบคุมรวมแบบดิจิทัลขนาด12.3 นิ้วและจอทัชสกรีนขนาด12.3 นิ้วที่กล่าวไว้ข้างต้น ซึ่งถูกรวมเข้าไว้ด้วยกันตรงกลางแผงหน้าปัดและยังเป็นเสมือนหัวใจหลักของระบบ Lamborghini Infotainment System (LIS) นอกจากนี้ยังนำเสนอระบบวัดระยะสำหรับรุ่นSE และจอแสดงผลแบบใหม่ที่ทำงานสัมพันธ์กับระบบช่วยขับต่าง ๆ ช่วยให้ผู้ขับสามารถรับรู้สภาวะรอบด้านได้ดียิ่งขึ้น

 

สัมผัส4 โหมดการขับขี่ที่แตกต่าง

   แผงควบคุม“Tamburo” ถูกติดตั้งบริเวณกลางคอนโซลเพื่อให้ผู้ขับสามารถเลือกโหมดการขับขี่ที่แตกต่างกันได้อย่างง่ายดาย และด้วยการใช้ระบบส่งกำลังแบบไฮบริดเมื่อรวมโหมดการขับขี่ของUrusทั้ง6 แบบเข้ากับการทำงานElectric Performance Strategies (EPS) แบบใหม่อีก4แบบทำให้นักขับมีตัวเลือกทั้งหมดมากถึง11ออปชันโดยในรุ่นนี้โหมดพื้นฐานทั้งStrada, Sport, Corsa (สำหรับท้องถนนและสนามแข่ง) รวมถึงNeve, Sabbia และTerra (สำหรับพื้นผิวที่มีการยึดเกาะที่แตกต่างจากพื้นยางมะตอย) จะสามารถทำงานร่วมกับออปชันระบบEV Drive, Hybrid, Performance และRechargeได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

   มร.สเตฟาโนคอสซัลเตอร์ผู้อำนวยการกลุ่มผลิตภัณฑ์LanzadorและUrusลัมโบร์กินีกล่าวว่า “Urus SE คือวิวัฒนาการครั้งสำคัญ ซึ่งไม่ใช่เพียงแนวคิดด้านความยั่งยืนจากการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้อย่างมหาศาลเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการพัฒนาด้านสมรรถนะและสัมผัสแบบรถยนต์สปอร์ตอีกด้วย สิ่งเหล่านี้เกิดจากการใช้โซลูชันเชิงเทคนิคที่ล้ำสมัยซึ่งเริ่มต้นขึ้นจากระบบส่งกำลังแบบไฮบริด ทำให้Urus SE ของเราเป็นซูเปอร์เอสยูวีที่ผสานหัวใจสำคัญทั้ง 2 ด้านได้อย่างสมบูรณ์แบบหนึ่งคือพลังงานจากการเผาไหม้ที่เป็นรากฐานสำคัญของแบรนด์และอีกหนึ่งคือพลังงานไฟฟ้าซึ่งเป็นอนาคตใหม่ในโลกยานยนต์เมื่อรวมทุกอย่างเข้าด้วยกัน ทำให้รถยนต์รุ่นนี้คือการตีความบุคลิกภาพของลัมโบร์กินีที่เด่นชัดในรูปลักษณ์ใหม่ และก้าวสู่เวอร์ชันใหม่ได้อย่างน่าทึ่ง”

   ระบบEV Drive ช่วยให้ผู้ขับได้สัมผัสประสบการณ์และศักยภาพของพลังงานไฟฟ้าอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะเมื่อได้รับการปรับแต่งมาเพื่อวิ่งบนท้องถนนในเมืองโดยสามารถวิ่งได้ไกลสุดถึง60กม. และเร่งความเร็วสูงสุดที่130 กม./ชม. เมื่อทำความเร็วสูงกว่านี้เครื่องยนต์V8 ก็จะเข้ามาสนับสนุนการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้า เช่นเดียวกันเมื่อผู้ขับต้องการแรงบิดที่มากกว่าระดับสูงสุดจากมอเตอร์ไฟฟ้า

   ระบบHybridซึ่งสามารถเลือกใช้ได้เมื่อขับขี่ในโหมดStrada มอบประสิทธิภาพและความสบายสูงสุดบนการทำงานที่สมดุลระหว่างเครื่องยนต์สันดาปและมอเตอร์ไฟฟ้า และแน่นอน ถือเป็นโหมดใช้งานแบบอเนกประสงค์ที่เหมาะสำหรับการขับขี่ในชีวิตประจำวัน ระบบRechargeซึ่งสามารถเลือกได้เมื่อใช้โหมดStrada, Sport, CorsaและNeveโดยสามารถชาร์จไฟให้แบตเตอรีได้ถึง80% โดยที่ยังให้สมรรถนะการขับขี่สูงสุดส่วนระบบPerformance เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องสัมผัสศักยภาพที่แท้จริงของUrus SE ซึ่งไม่เพียงเลือกได้ในโหมดStrada, SportและCorsaเท่านั้นแต่ยังรวมถึงโหมดSabbia และTerra อีกด้วยโดยมอบประสิทธิภาพด้านพลศาสตร์ที่เหนือชั้นของซูเปอร์เอสยูวีตัวจริงแม้ไม่ได้วิ่งบนพื้นยางมะตอย

   เมื่อวิ่งในโหมดที่แตกต่างกันสปริงลมจะปรับเปลี่ยนการทำงานเพื่อสร้างค่าความสูงรถที่เหมาะสมตั้งแต่การเดินทางระยะ15มม. ในโหมดCorsa ไปจนถึงสูงสุดที่75มม. เมื่อระบบยกตัวรถทำงานเต็มที่นอกจากนี้พารามิเตอร์ที่คอยปรับพวงมาลัยระบบการขับขี่และเสียงเครื่องยนต์ทวินเทอร์โบV8 ก็จะทำงานแบบแปรผันเช่นกันเพื่อสะท้อนถึง“บุคลิก” ที่แตกต่างของUrus SE

   ทีมผู้พัฒนายังให้ความสำคัญอย่างมากกับระบบกันสะเทือนแบบถุงลม (Air Suspension)เพื่อเน้นประสบการณ์การขับขี่ของแต่ละโหมดให้โดดเด่นยิ่งขึ้นโดยในโหมดStrada ได้เพิ่มระดับความสบายของรถยนต์Urus S ให้มากขึ้นไปอีกส่วนในโหมดSport จะเพิ่มความสนุกสนานในการขับขี่โดยเสริมคาแรกเตอร์ของระบบส่งกำลังแบบใหม่ในการสตาร์ตและการดริฟต์ที่มันส์อย่างต่อเนื่องโหมดCorsa ออกแบบมาเพื่อการพุ่งทะยานในสนามแข่งขันทำให้Urus SE โชว์ศักยภาพด้านพลศาสตร์ได้อย่างเต็มที่ด้วยการติดตั้งหน่วยควบคุมไฟฟ้า (ECU)สำหรับระบบกันสะเทือนซึ่งช่วยควบคุมรูปแบบการเคลื่อนไหวของโครงแชสซี (ทั้งการPitch,Yaw,RollและPump) ซึ่งทำให้ตัวรถมีความเสถียรสูงและตอบสนองกับขอบสนามแข่งได้อย่างฉับไว รวมไปถึงการวิ่งบนทางขรุะขระและพื้นผิวที่มีการยึดเกาะต่ำซึ่งเกิดจากการติดตั้งเหล็กกันโคลงที่ควบคุมการทำงานด้วยระบบไฟฟ้า48V ส่วนในโหมดNeve, Stabbia และTerra ได้ถูกปรับปรุงประสิทธิภาพใหม่เพื่อเสริมประสิทธิภาพแรงกระทำกับพื้นถนนที่สม่ำเสมอ และสร้างแรงฉุดที่ดีที่สุดบนพื้นผิวทุกประเภท

 

Technical Specifications

ENGINE

 

 

Engine

Type

V8, 90°

Valves per cylinder

4

Displacement

cm3

3996

Bore

Mm

86

Stroke

Mm

86

Compression Ratio ICE

Ratio

9,7:1

Max Power ICE

CV

620

Max Power ICE

kW

456

Max Power @ rpm (ICE)

@ rpm

620 CV @ 6000

Specific Output (ICE)

CV/L

155

Max revs (ICE)

Rpm

6800

Max torque (ICE)

Nm

800

Max torque @ rpm (ICE)

Nm @ rpm

800 @ 2250-4500

Minimum Engine Rev–Idle

Rpm

550 +/- 100

Maximum Engine Rev - Limiter

Rpm

6800

 

GEARBOX & TRANSMISSION

 

 

Transmission

Type

4WD with integrated front differential,
hang-on central differential electronic rear differential with torque vectoring

Gearbox

Type

8-speed automatic gearbox with torque converter

PERFORMANCE

 

 

Acceleration 0-100 km/h

S

3,4

Acceleration 0-200 km/h

S

11,2

Braking 100-0 km/h

M

33,5

Vmax

km/h

312

Vmaxonly e

km/h

135

WHEELS

 

 

Standard Rims

 

 

Front

9,5Jx21" ET28

 

Rear

10,5Jx21" ET18

Standard Tires

 

 

Front

285/45 ZR21

 

Rear

315/40 ZR21

BRAKES

 

 

Carbon ceramicbrakes (front)

Type

CCB

Diameter

440 mm (17.32 in)

Thickness

40 mm (1.57 in)

Carbon ceramicbrakes (rear)

Type

CCB

Diameter

410 mm (16.14 in)

Thickness

32 mm (1.26 in)

 

DIMENSIONS

 

 

Wheelbase

mm

3003

Overalllength

mm

5123

Front overhang

mm

1067

Rearoverhang

mm

1053

Overallwidth (excludingmirrors)

mm

2022

Overallwidth (includingmirrors)

mm

2181

Overallheight

mm

1638

Track (front)

mm

1695

Track (rear)

mm

1710

Area

m2

2,83

Weightdistribution

%

54/46

 

HYBRID SYSTEM

 

 

Battery

Lithium-ion with prismatic cells

Electricengines

 AC synchronous EM with PM 141 kW @3200 rpm

SUSPENSIONS

 

 

Front Suspension

Type

front suspension with multilink layout, semi-active dampers, pneumatic springs and car height adjustment system.

RearSuspension

Type

rear suspension with multilink layout, semi-active dampers, pneumatic springs and car height adjustment system. Double steeringaxle (Rear Wheel Steering)

ELECTRIC ENGINE

 

 

Battery

Type

BATTERY LI-ION E67 BATTypA27

Battery Total Energy

Rear emotor - P2P3 10s Peak Power @rpm

Rear emotor - P2P3 10s Peak torque

kWh

kW @ rpm

 

Nm

25,9

141kW @ 3200rpm

 

483Nm

 

 

Photosandvideos:media.lamborghini.com

Information on Automobili Lamborghini: www.lamborghini.com

###