“เมดีซ กรุ๊ป” ตอกย้ำภาพลักษณ์ผู้นำด้าน “BIOlongevity Technology” ดึง 3 แพทย์-นักวิจัยระดับโลกร่วมเสวนาในหัวข้อ “BIOlongevity: ชีวิตยืนยาว120 ปีที่เป็นจริงได้” พร้อมเปิดตัวภาพยนตร์ไวรัลชุดใหม่ “เลือกพรุ่งนี้ที่ดีกว่า” (Live A Better Tomorrow)

ก้าวสู่พันธกิจการเป็น “แบรนด์แรก และแบรนด์เดียวในอาเซียน ที่มีความเชี่ยวชาญระดับ “State-of-the-Art BIOlongevity”มุ่งพัฒนาอุตสาหกรรมสเต็มเซลล์ของไทยให้ก้าวไกลสู่ระดับเวิลด์คลาส

 

   กรุงเทพฯ (20 เมษายน 2565) -บริษัท เมดีซ กรุ๊ป จำกัดผู้นำด้านสถาบันการฝากเก็บ คัดแยก เพาะเลี้ยงและวิจัยเซลล์ต้นกำเนิดแบบครบวงจรพร้อมรางวัลการันตีคุณภาพมาตรฐานระดับโลกประกาศพันธกิจใหม่ในการเป็น“แบรนด์แรกและแบรนด์เดียวในภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ที่มีความเชี่ยวชาญระดับ State-of-the-ArtBIOlongevity”พร้อมเปิดเวทีเสวนาพิเศษภายใต้หัวข้อ “BIOlongevity: ชีวิตยืนยาว 120 ปีที่เป็นจริงได้” โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อแบ่งปันองค์ความรู้ และเปิดมุมมองให้องค์กร สังคมโดยรวม และคนไทย ก้าวทันไปกับปรากฏการณ์การเปลี่ยนแปลงด้านสุขภาพครั้งยิ่งใหญ่ทั้งในปัจุบันและที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต โดยที่นวัตกรรมและความก้าวหน้าด้านสเต็มเซลล์จะเข้ามาเป็นมากกว่า ‘ทางเลือก’ ในการฟื้นฟูสภาวะความเสื่อมของร่างกายมนุษย์ และจะมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการมอบชีวิตที่ยืนยาวที่มีสุขภาพดีให้แก่ผู้คน โดยทีมผู้บริหารจากบริษัท เมดีซ กรุ๊ป จำกัด นำโดย นายแพทย์วีรพล เขมะรังสรรค์ ประธานกรรมการบริหารแพทย์ชาวไทยเพียงหนึ่งเดียวที่ได้รับเกียรตินิยมในสาขาการจัดตั้งธนาคารฝากเก็บเนื้อเยื่อและการปลูกถ่ายเนื้อเยื่อจากมหาวิทยาลัยเเห่งชาติสิงคโปร์ร่วมด้วย รศ. ดร. รังสรรค์ พาลพ่าย ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานที่ปรึกษา เจ้าของรางวัลนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติปี 2564 จากผลงานวิจัย “โคลนนิ่งสัตว์”และ ดร. ฌีวาตรา ตาลชัย กรรมการอิสระเจ้าของรางวัลนักวิจัยรุ่นใหม่ดีเด่น จากสมาคมต่อมไร้ท่อแห่งสหรัฐอเมริกาโดยงานเสวนาจัดขึ้น ณ ห้องแถลงข่าว GlowFish Sathorn ถนนสาทรเหนือ กรุงเทพฯ ท่ามกลางผู้สนใจซึ่งเป็นสื่อมวลชนและตัวแทนบุคลากรในวงการสเต็มเซลล์ ร่วมเข้าฟังภายใต้มาตรการเฝ้าระวังโรคโควิด -19 อย่างเคร่งครัด นอกจากนี้ ยังได้เปิดตัวภาพยนตร์ไวรัลชุดใหม่ภายใต้คอนเซปต์ “เลือกพรุ่งนี้ที่ดีกว่า” (Live A Better Tomorrow) ออกอากาศทางสื่อออนไลน์ทั่วประเทศแล้วตั้งแต่วันนี้ เพื่อตอกย้ำภาพลักษณ์และศักยภาพอันแข็งแกร่งของเมดีซ กรุ๊ปในการมุ่งพัฒนาอุตสาหกรรมสเต็มเซลล์ของไทยให้ก้าวไกลสู่ระดับเวิลด์คลาสอย่างเป็นรูปธรรม

   นายแพทย์วีรพล เขมะรังสรรค์ ผู้ก่อตั้งและประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมดีซ กรุ๊ป จำกัดแพทย์ชาวไทยที่ได้รับเกียรตินิยมในสาขาการจัดตั้งธนาคารฝากเก็บเนื้อเยื่อและการปลูกถ่ายเนื้อเยื่อจากมหาวิทยาลัยเเห่งชาติสิงคโปร์และหนึ่งในคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของ American Board of Anti-Aging Medicine (ABAARM) และ American Board Certified in Fellowship in Stem Cell Therapies, American Academy of Anti-Ageing Medicineเปิดเผยว่า “ผู้คนในโลกปัจจุบันกำลังประสบปัญหาอย่างหนักจากวิกฤติด้านสุขภาวะที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม มลพิษจำนวนประชากรสูงอายุที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไปจนถึงสถานการณ์ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบมายาวนานมากกว่า 2 ปีเมดีซ กรุ๊ป ตระหนักถึงความสำคัญของการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวในทั่วโลก และได้ดำเนินธุรกิจของเราอย่างต่อเนื่องมาถึง 12 ปี เพื่อขับเคลื่อนความยั่งยืนด้านสุขภาพให้กับคนทั่วโลกเราจึงมุ่งมั่นนำเสนอทางเลือกใหม่ที่จะทำให้ผู้คนสามารถมีชีวิตอันยืนยาวและใช้ชีวิตในวันพรุ่งนี้ที่ดีกว่าเดิมได้ ผ่านพันธกิจใหม่ของเราในฐานะ ‘แบรนด์แรกและแบรนด์เดียวในอาเซียนที่มีความเชี่ยวชาญระดับ State-of-the-Art BIOlongevity’ที่ครบวงจรที่สุดโดยคำว่า BIOlongevity’ก็คือวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ที่จะช่วยปูทางไปสู่การมีอายุขัยถึง 120 ปีได้ของมนุษย์ โดยเป็นการผสมคำระหว่างคำว่า ‘BIO’ ซึ่งหมายถึงชีวภาพ คือสิ่งที่เกี่ยวกับการมีชีวิตอยู่ของเรา บวกกับคำว่า ‘Longevity’ ซึ่งแปลว่าความยืนยาวหรือการมีอายุยืนนั่นเอง ทั้งนี้ในวงการแพทย์ มีข้อมูลที่แพร่หลายจากการวิจัยมากมายว่า มนุษย์เราสามารถมีชีวิตอยู่ได้ถึง120 ปี ด้วยการวิเคราะห์ผลตรวจนับเม็ดเลือดของประชากรในวัยที่ต่างกันเพื่อดูสัดส่วนระหว่างเม็ดเลือดขาวสองชนิด กับความแตกต่างของขนาดเม็ดเลือดแดงที่ร่างกายผลิตออกมา โดยเมื่อคนเรายิ่งมีอายุมากขึ้น ความเปลี่ยนแปลงทั้งปริมาณและขนาดของเม็ดเลือดสองประการนี้ก็จะยิ่งปรากฏชัดขึ้น เห็นได้จากการเสื่อมสภาวะของเซลล์ร่างกาย เช่น การมีผมหงอก เป็นโรคไขข้อ หรือมีผิวหนังที่เหี่ยวย่นลง โดยข้อมูลความเปลี่ยนแปลงของเม็ดเลือดดังกล่าวเป็นตัวบ่งชี้ทาง

   ชีวภาพที่เรียกว่า Biomarkerที่สามารถบอกได้ถึงระดับความชราหรืออายุทางชีวภาพ (Biological Age) ที่แท้จริงของคนเรา โดยมีการนำข้อมูลเหล่านี้มาสร้างเป็นแบบจำลองคอมพิวเตอร์ เพื่อคำนวณหาค่าบ่งชี้สภาพของสิ่งมีชีวิตแบบมีพลวัต(DOSI) ซึ่งตัวเลขนี้จะแสดงถึงความสามารถของมนุษย์ในการฟื้นตัวจากภาวะป่วยไข้หรืออาการบาดเจ็บ โดยผลการคำนวณปรากฏว่า ความสามารถในการฟื้นตัวจากสภาวะร่างกายเสื่อมของมนุษย์จะหมดไปอย่างสิ้นเชิงในช่วงอายุประมาณ 120 ปี”

   “สเต็มเซลล์หรือเซลล์ต้นกำเนิดนั้นจึงถือว่าเป็นสิ่งที่มีคุณค่าและประโยชน์อย่างมหาศาล เพราะเป็นเซลล์ที่มีคุณสมบัติพิเศษและแตกต่างจากเซลล์ทั่วไปอยู่ 3 ประการ คือ 1) เป็นเซลล์ที่ยังไม่มีหน้าที่จำเพาะใดๆ  2) เป็นเซลล์ที่แบ่งตัวเพิ่มจำนวนขึ้นได้อย่างไม่จำกัด และ 3) สามารถพัฒนาไปเป็นเซลล์ชนิดต่างๆ ได้เกือบทุกชนิดในร่างกาย เช่น เซลล์ผิวหนัง เซลล์สมอง เซลล์กล้ามเนื้อเซลล์เม็ดเลือด ฯลฯในปัจจุบันจึงมีการเก็บสเต็มเซลล์แช่แข็งเอาไว้เพื่อใช้ในอนาคตหากจำเป็น โดยในการเก็บสเต็มเซลล์ เราสามารถเก็บได้ทั้งจากเด็กแรกเกิดคือจากเลือดในสายสะดือและเนื้อเยื่อสายสะดือ และจากผู้ใหญ่ทุกอายุคือจากเนื้อเยื่อไขมันหรือไขกระดูกทั้งนี้ ความก้าวหน้าในด้านวิจัยและพัฒนาด้านสเต็มเซลล์ในปัจจุบันได้รุดหน้าไปไกลอย่างรวดเร็ว นวัตกรรมและองค์ความรู้ใหม่ๆ ในการประยุกต์ใช้สเต็มเซลล์เพื่อรองรับการรักษาให้สัมฤทธิ์ผลได้จริงนั้นเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา โดยหนึ่งในศาสตร์ที่ได้รับการยอมรับและเริ่มมีการใช้งานในวงกว้างมากขึ้นได้แก่เวชศาสตร์ฟื้นฟูสภาวะเสื่อม(Regenerative Medicine) ซึ่งเน้นการใช้งานเซลล์ต้นกำเนิดที่มีคุณสมบัติในการแบ่งเซลล์และเปลี่ยนแปลงไปทดแทนเนื้อเยื่อต่างๆ ที่เสื่อมลงของร่างกายเมื่อคนเรามีอายุมากขึ้น เช่น ข้อเข่าหรือข้อสะโพกเสื่อม รวมถึงการเสริมความอ่อนเยาว์ให้กับร่างกาย เช่น การลดริ้วรอยของผิวพรรณ การสร้างเส้นผมใหม่ ไปจนถึงการเพิ่มจำนวนเซลล์ป้องกัน อย่างเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด NK Cell (Natural Killer Cell) ซึ่งมีหน้าที่สำคัญในการทำลายเซลล์ที่ติดเชื้อไวรัสและเซลล์มะเร็งซึ่งวิทยาการเหล่านี้ เมื่อได้รับแรงส่งจาก ‘BIOlongevity Technology’ ที่ล้ำหน้าที่สุดจากเมดีซ กรุ๊ปอันประกอบด้วยทีมนักวิทยาศาสตร์และบุคลากรผู้ทรงคุณวุฒิ กระบวนการตรวจสอบคุณภาพเซลล์อันเข้มงวดฝ่ายวิจัยและพัฒนาอันแข็งแกร่ง เครือข่ายแพทย์ นักวิจัยและบุคลากรชั้นนำในวงการเทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology) ไปจนถึงห้องปฏิบัติการปลอดเชื้อระดับคลีนรูมคลาส 100ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และพรั่งพร้อมด้วยอุปกรณ์และเทคโนโลยีอันทันสมัยที่สุดในวงการธนาคารจัดเก็บสเต็มเซลล์ เมดีซ กรุ๊ป จึงมั่นใจว่าภารกิจในการสร้างชีวิตที่ยืนยาวหรือ Longevityให้กับผู้คน จะไม่เป็นเพียง ‘ความหวัง’ ในอนาคตอีกต่อไป แต่จะสามารถเป็น ‘อีกทางเลือก’ ที่ทุกคนสามารถมีได้ เพื่อยืดเวลาแห่งความสุขในการใช้ชีวิตอยู่กับคนที่เรารักและเพื่อสานต่อความฝันต่างๆ ที่ยังอยากทำต่อไปให้สำเร็จเป็นจริงได้”

   รศ. ดร. รังสรรค์ พาลพ่าย ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานที่ปรึกษาบริษัท เมดีซ กรุ๊ป จำกัด เจ้าของรางวัลนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติปี 2564 จากผลงานวิจัย “โคลนนิ่งสัตว์”โดยสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมและผู้ก่อตั้งชมรมสเต็มเซลล์แห่งประเทศไทยกล่าวเสริม“จากข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า มีธุรกิจที่จดทะเบียนการวิจัยและพัฒนาเชิงทดลองด้านเทคโนโลยีชีวภาพในประเทศไทยอยู่ทั้งสิ้น 84 กิจการ1 (ข้อมูลล่าสุด: มีนาคม 2565) โดยมีถึง 64 กิจการที่มีการจดทะเบียนในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาทั้งนี้จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด -19 ในทั่วโลก ส่งผลให้เทคโนโลยีชีวภาพก้าวเข้ามามีบทบาทมากขึ้นด้วยการรักษาด้วยเซลล์บำบัดจากสเต็มเซลล์ โดยเน้นไปที่การฟื้นฟูเซลล์ปอดของผู้ป่วยโรคโควิด-19ซึ่งมีงานวิจัยมากกว่า 70 งานวิจัยที่กำลังศึกษาถึงการใช้งานของสเต็มเซลล์ในผู้ป่วยโควิด-192 แต่กระแสการใช้งานของสเต็มเซลล์นั้นได้เป็นที่สนใจมาก่อนหน้านี้แล้ว ที่จำกัดอยู่เฉพาะผู้ป่วยโรคเลือดหรือเฉพาะในธุรกิจความงามในส่วนของนวัตกรรมและความก้าวหน้าของงานวิจัยสเต็มเซลล์ในประเทศไทยถือได้ว่าเราไม่เป็นสองรองใครในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยบริษัท เมดีซ กรุ๊ป จำกัดถือเป็นสถาบันผู้บุกเบิกเรื่องเทคโนโลยีชีวภาพในประเทศไทย โดยมุ่งเน้นในด้านนวัตกรรมด้านการฝากเก็บ คัดแยกและเพาะเลี้ยงสเต็มเซลล์แบบครบวงจร และเปิดให้บริการมากว่า 12 ปีนอกจากนี้ เมดีซ ยังเป็นบริษัทแรกในโลกที่ให้บริการเชิงพาณิชย์ในด้านการตรวจทดสอบศักยภาพของเซลล์เม็ดเลือดขาวเพื่อดูความแข็งแรงและความสามารถในการฆ่ามะเร็งในด้านวิจัยและพัฒนา เมดีซมีความแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่งด้วยศูนย์ R&D ที่มุ่งเน้นการพัฒนาอย่างไม่สิ้นสุด เพื่อให้ได้มาซึ่งองค์ความรู้ใหม่ที่จะสามารถนำไปประยุกต์และพัฒนาการบริการใหม่อันมีนวัตกรรมที่ล้ำหน้าสูงสุดอยู่เสมอ โดยในปัจจุบัน เมดีซ มีการพัฒนาโครงการต่างๆ ร่วมกับหน่วยงานชั้นนำระดับประเทศมากมายเพื่อต่อยอดการใช้งานสเต็มเซลล์ในวงการแพทย์ไทย อาทิ การสร้างกระจกตาเทียมจากสเต็มเซลล์ของมนุษย์ลงบนโครงสร้างคอลลาเจน โดยทดลองร่วมกับคณะสัตวแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย การเพิ่มความจำเพาะของ NK Cell ผ่านการดัดแปลงตัวรับของเซลล์ ร่วมกับ สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์การพัฒนานวัตกรรมการเลี้ยงเซลล์รากผมและจัดเก็บเซลล์ในระยะยาวสำหรับคนผมบาง และการนำเซลล์ที่จัดเก็บไปใช้ในคนจริงๆ เช่น นำเซลล์ไขมันที่จัดเก็บไปใช้รักษาภาวะข้อเข่าเสื่อม โดยร่วมมือกับโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าฯ เป็นต้น จะเห็นได้ว่าการต่อยอดงานวิจัยด้านสเต็มเซลล์เหล่านี้เป็นการตอกย้ำความก้าวหน้าในด้านBIOlongevity’ของเมดีซ กรุ๊ป ในการมอบชีวิตที่ยืนยาวแก่ทุกคนให้เป็นจริงได้ในอนาคต”

   ดร. ฌีวาตรา ตาลชัย กรรมการอิสระ บริษัท เมดีซ กรุ๊ป จำกัดเจ้าของรางวัลนักวิจัยรุ่นใหม่ดีเด่น จากสมาคมต่อมไร้ท่อแห่งสหรัฐอเมริกาและผู้เป็นร่วมประดิษฐ์สิทธิบัตรการใช้สเต็มเซลล์ลำไส้ผลิตอินซูลินเพื่อรักษาผู้ป่วยโรคเบาหวานตอกย้ำความมั่นใจแบรนด์เมดีซ ด้วยรางวัลการันตีคุณภาพระดับโลก “เมดีซ กรุ๊ป มียอดรวมจำนวนการเก็บสเต็มเซลล์มากที่สุดเป็นอันดับ 1 ในภูมิภาคอาเซียนและได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าในทั่วโลก เพราะทุกกระบวนการตั้งแต่การฝากเก็บ จนถึงการเพาะเลี้ยงเซลล์ ถูกคิดขึ้นจากงานวิจัยที่ได้รับการรับรองจากสถาบันระดับโลกมากมาย เราพิถีพิถันในทุกรายละเอียดจนได้รับรางวัลการันตีคุณภาพจากเวทีระดับสากล อาทิ รางวัลยอดเยี่ยมต่อเนื่องถึง 4 ปีซ้อนจาก Frost & Sullivan ในฐานะธนาคารสเต็มเซลล์ที่ดีที่สุดของประเทศไทย (Thailand’s Stem Cell Banking Company of the Year) รางวัล World Branding Awards โดย World Branding Forum รางวัลระดับอนุภูมิภาค South East Asia Stem Cell Banking Technology Innovation Leadership Award และล่าสุด เรายังได้รับการรับรองมาตรฐานระดับโลกเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งสถาบัน นั่นคือ The American Association of Blood Banks (AABB)ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ให้การรับรองและกำหนดมาตรฐานแนวทางการดำเนินงานของธนาคารสเต็มเซลล์ที่เข้มงวดที่สุดในโลกโดยเป็นมาตรฐานคุณภาพที่ครอบคลุมกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับเลือดจากสายสะดือทั้งกระบวนการดำเนินการ ตั้งแต่การจัดเก็บในระยะยาวไปจนถึงการกระจายขนส่งเพื่อรองรับการรักษาให้กับผู้ป่วยในทั่วโลก”

   ภายในงาน เมดีซ กรุ๊ป ยังได้เปิดตัวภาพยนตร์ไวรัลชุดใหม่ที่สร้างสรรค์ขึ้นภายใต้คอนเซปต์ “เลือกพรุ่งนี้ที่ดีกว่า” (Live ABetter Tomorrow) ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการมี ‘ทางเลือก’ของผู้คนในการมีสุขภาพที่ดีและชีวิตที่ยืนยาวขึ้น เพื่อสานต่อความฝันและภารกิจต่างๆ ในชีวิตที่ยังอยากทำให้สำเร็จเป็นจริงได้ โดยภาพยนตร์ไวรัลชุดใหม่ดังกล่าว จะเริ่มออกอากาศทางสื่อออนไลน์ทั่วประเทศตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป โดยสามารถรับชมวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/WLE0kFM6VwY

   “ในฐานะหนึ่งในบริษัทที่มีการเติบโตขึ้นอย่างมหาศาลท่ามกลางเศรษฐกิจกระแสใหม่ (New Economy) และมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในประเทศไทย ความสำเร็จของเราสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพในการช่วยผลักดันการพัฒนาอุตสาหกรรมด้าน สเต็มเซลล์ของไทยให้ก้าวสู่ระดับเวิลด์คลาสได้อย่างเต็มภาคภูมิ โดยเราได้รับความเชื่อมั่นจากนานาประเทศในด้านคุณภาพซึ่งตรงตามมาตรฐานสากลและจริยธรรมทางการแพทย์ ดังนั้นการนำสเต็มเซลล์ที่ผ่านการดูแลโดยเมดีซ กรุ๊ปไปใช้รองรับการรักษาในอนาคต ย่อมยืนยันได้ถึงประสิทธิภาพและความปลอดภัยสูงสุดของลูกค้า ทั้งหมดเหล่านี้ ล้วนเป็นเครื่องตอกย้ำถึงภาพลักษณ์อันแข็งแกร่งของเมดีซ กรุ๊ป ในการเป็น แบรนด์แรกและแบรนด์เดียวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีความเชี่ยวชาญในระดับ State-of-the-Art BIOlongevity Technology”นายแพทย์วีรพลกล่าวสรุป    

สนใจข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับบริษัท เมดีซ กรุ๊ป จำกัดกรุณาเยี่ยมชมเว็บไซต์ https://www.medezegroup.com

 

แหล่งอ้างอิง:

  1. กรมพัฒนาธุรกิจการค้าข้อมูลนิติบุคคลด้านการวิจัยและพัฒนาเชิงทดลองด้านเทคโนโลยีชีวภาพ[Online] 2022(https://datawarehouse.dbd.go.th/searchJuristicInfo)
  2. Golchin A, Seyedjafari E, Ardeshirylajimi A. Mesenchymal stem cell therapy for COVID-19: present or future. Stem cell reviews and reports. 2020 Jun;16(3):427-33

###