สมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยมั่นใจตลาดรถปีนี้ฟื้นตัวต่อเนื่อง พร้อมขานรับมาตรการสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้าของรัฐ

   สมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย (The Thai Automotive Industry Association : TAIA) จัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับสื่อมวลชน (TAIA Meets the Press) ในหัวข้อ “ทิศทางอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย”มองแนวโน้มตลาดรถสามารถฟื้นตัวได้ต่อเนื่องจากวิกฤตโควิด-19ในประเทศที่เริ่มคลี่คลายมั่นใจนโยบายภาครัฐต่างๆที่พร้อมสนับสนุนการพลิกฟื้นภาคเศรษฐกิจทั้งระบบรวมถึงมาตรการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าที่จะเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยให้มากยิ่งขึ้น

   นายสุวัชร์ ศุภกาญจน์เดชากุล นายกสมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย เผยว่า “ในปีพ.ศ. 2565คาดการณ์การผลิตรถยนต์ของไทยโดยรวมที่1.8ล้านคันเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาที่มียอดผลิต1.68ล้านคันโดยแบ่งเป็นผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ8แสนคันและผลิตเพื่อส่งออก1ล้านคันและได้คาดการณ์ยอดจำหน่ายรถยนต์ทุกประเภทในปีนี้จะอยู่ที่8.5 แสนคันเพิ่มขึ้น90,000คันจากยอดจำหน่ายปีที่แล้วหรือประมาณ12% ส่วนตัวเลขรถจักรยานยนต์ คาดการณ์ยอดผลิตที่2,000,000 คันและยอดจำหน่ายปีนี้1,650,000 คัน เพิ่มขึ้น3%เพราะมีปัจจัยบวกสนับสนุนในหลายส่วนได้แก่การที่รัฐบาลเตรียมประกาศให้โควิด-19เป็นโรคประจำถิ่นตั้งแต่วันที่1กรกฎาคม2565เนื่องจากมีผู้ได้รับวัคซีนมากกว่า80% ของประชากรทั้งประเทศและมีการปรับวิถีชีวิตอยู่ร่วมกับโควิดได้ดีขึ้นนโยบายเปิดประเทศโดยการผ่อนคลายมาตรการล็อคดาวน์การเพิ่มพื้นที่สีฟ้าเพื่อนำร่องการท่องเที่ยวการเปิดรับนักท่องเที่ยวทั้งในและนอกประเทศเช่นมาตรการTest & Go ยกเลิกการตรวจRT-PCR ก่อนการเดินทางที่จะเริ่มในวันที่1เมษายนนี้เป็นต้นส่งผลให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวฟื้นตัวต่อเนื่องโดยสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจไทยตลอดปีพ.ศ. 2565 ว่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้นถึง4% โดยมาจากการขยายตัวของภาคการส่งออก4.9% การอุปโภคบริโภค4.5% การลงทุนภาคเอกชน3.8%  และการลงทุนภาครัฐ4.6% รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆของภาครัฐในการช่วยเหลือประชาชนผู้ประกอบการและผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19อย่างต่อเนื่องรวมถึงการกระตุ้นเศรษฐกิจในปีที่ผ่านมา”

 

ส่วนด้านปัจจัยลบทางสมาคมฯมองว่ามี2 สาเหตุหลักกล่าวคือ

  • ปัจจัยลบนอกประเทศเช่นปัญหาการขาดแคลนและการถูกปรับราคาขึ้นของชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์เนื่องจากความต้องการสินค้าอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดปัญหาLogistic &Supply chain disruption จากการแพร่ระบาดของโควิด-19ระลอกใหม่การแข่งขันทางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีนปัญหาความรุนแรงระหว่างยูเครนและรัสเซียที่ส่งผลให้ราคาน้ำมันโลกสูงขึ้นรวมถึงมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ
  • ปัจจัยลบภายในประเทศได้แก่ค่าครองชีพที่สูงขึ้นจากราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ปรับตัวสูงอย่างต่อเนื่องทั่วโลกอัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นและปัญหาหนี้ครัวเรือนสูงขึ้นซึ่งอาจส่งผลต่อกำลังการซื้อของประชาชนที่ลดลง

   สำหรับกระแสยานยนต์ไฟฟ้าหรือEV ที่กำลังเป็นเทรนด์ของทั่วโลกเนื่องจากเทคโนโลยีนี้ได้เข้ามาตอบโจทย์การลดภาวะโลกร้อนในปัจจุบันประเทศต่างๆหันมาส่งเสริมการใช้รถไฟฟ้ามากขึ้นโดยเฉพาะในจีนและสหรัฐอเมริกาล่าสุดรัฐบาลไทยได้ผ่านร่างมติคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ดอีวี) กำหนดนโยบาย30@30คือการตั้งเป้าการผลิตรถZEV (Zero Emission Vehicle)  หรือรถยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ให้ได้อย่างน้อย30% ของการผลิตยานยนต์ทั้งหมดในปีค.ศ.2030หรือพ.ศ.2573เพื่อก้าวเข้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำ (Low Carbon Society) และการเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนที่สำคัญของโลกหรือศูนย์กลางของภูมิภาค (EV Hub)

   นายสุวัชร์กล่าวเสริมว่า“มาตรการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าของภาครัฐที่เพิ่งประกาศล่าสุด เช่น การสนับสนุนด้านสิทธิประโยชน์และภาษีของยานยนต์ไฟฟ้าเป็นการกระตุ้นตลาดเพื่อให้รถไฟฟ้ามีราคาที่น่าสนใจสำหรับผู้บริโภค โดยในปีนี้คาดการณ์ยอดจดทะเบียนใหม่ยานยนต์ไฟฟ้าจะมีแนวโน้มเติบโตอย่างก้าวกระโดดสำหรับประเภทรถยนต์นั่งไฟฟ้าคาดว่าน่าจะทะลุ10,000คันส่วนเรื่องการสร้างไทยให้เป็นฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเหมือนกับรถกระบะ และรถอีโค่คาร์นั้น สมาคมฯมองว่าไทยมีศักยภาพที่เหนือกว่าประเทศอื่นๆในด้านบุคลากรทักษะสูงประสบการณ์ความชำนาญในการประกอบและผลิตรถยนต์ที่ได้รับการยอมรับตามมาตรฐานสากลมาอย่างยาวนาน รวมทั้งยังมีเครือข่ายผู้ผลิตชิ้นส่วนในประเทศ (Supply Chain) ที่แข็งแกร่ง และยังมีนโยบายรัฐเพื่อส่งเสริมและดึงดูดการลงทุนอย่างต่อเนื่อง แต่ในขณะเดียวกันเรายังต้องการตลาดขนาดใหญ่ขึ้นทั้งภายในและต่างประเทศ เพื่อให้การผลิตมี Economy of Scalesรวมถึงเราต้องมีการประเมินศักยภาพของประเทศรอบข้าง และมาตรการสนับสนุนต่างๆอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ประเทศไทยสามารถบรรลุเป้าหมายได้”

###