พพ.ลงพื้นที่ จ.ราชบุรี เยี่ยมชมโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก สร้างรายได้ ลดความเหลื่อมล้ำ พัฒนาอย่างยั่งยืน

   กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน (พพ.) สนับสนุนโดยกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ลงพื้นที่ จ.ราชบุรี เยี่ยมชมพื้นที่นำร่องโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก ณ โรงไฟฟ้าชุมชนโคราช จำกัด ร่วมกับ วิสาหกิจชุมชนเกษตรยั่งยืนบ้านหนองกวาง และโรงไฟฟ้าชุมชนสุรินทร์ จำกัด ร่วมกับ วิสาหกิจชุมชนปลูกหญ้าเนเปียร์บ้านห้วยปลากดเล็ก โดยมีนางสุภาพร เกาสังข์ ประธานวิสาหกิจชุมชนเกษตรยั่งยืนบ้านหนองกวาง และนางสุภัชทรา นุชพันธ์ ประธานวิสาหกิจชุมชนปลูกหญ้าเนเปียร์บ้านห้วยปลากดเล็ก และนายเตชธรรม แย้มพงษ์ ที่ปรึกษา กลุ่มวิสาหกิจชุมชนเกษตรยั่งยืนบ้านหนองกวาง ให้การต้อนรับ

   นายเรืองเดช ปั่นด้วง รองอธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กล่าวว่า การลงพื้นที่ของ พพ.ในครั้งนี้ เป็นครั้งที่ 5 ซึ่งเป็นการเยี่ยมชมพื้นที่นำร่องโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก จังหวัดราชบุรี โดย บริษัทโรงไฟฟ้าชุมชนโคราช จำกัด ร่วมกับ วิสาหกิจชุมชนเกษตรยั่งยืนบ้านหนองกวาง มีกำลังการผลิตติดตั้ง 3.5 เมกะวัตต์ (ปริมาณไฟฟ้าเสนอขาย 3 เมกะวัตต์) ซึ่งปริมาณเชื้อเพลิงที่รับซื้อต่อโครงการ 3.25 ล้านตัน ตลอดอายุโครงการ และมีพื้นที่เพาะปลูกต่อโครงการ 1,800-2,000 ไร่ และบริษัท โรงไฟฟ้าชุมชนสุรินทร์ จำกัด ร่วมกับ วิสาหกิจชุมชนปลูกหญ้าเนเปียร์บ้านห้วยปลากดเล็ก มีกำลังการผลิตติดตั้ง 2.5 เมกะวัตต์ (ปริมาณไฟฟ้าเสนอขาย 2 เมกะวัตต์) มีปริมาณเชื้อเพลิงที่รับซื้อต่อโครงการ 2.34 ล้านตัน ตลอดอายุโครงการ พื้นที่เพาะปลูกต่อโครงการ 1,300-1,400 ไร่ ณ บริษัท โรงไฟฟ้าชุมชนสุรินทร์ จำกัด ทำให้เกิดความร่วมมือของสมาชิกชุมชนในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้า สร้างโอกาส เพิ่มรายได้ ลดความเหลื่อมล้ำ นำไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน

   นายเรืองเดช กล่าวต่อไปว่า ได้จัดทำโครงการสื่อสารเพื่อสร้างการรับรู้ตามนโยบายส่งเสริมโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เพื่อเป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนโครงการฯ ให้บรรลุเป้าหมายตามแผนส่งเสริมพลังงานทดแทน โดยมุ่งเน้นกลุ่มเป้าหมายที่เป็นชุมชน วิสาหกิจชุมชน ซึ่งเป็นกลุ่มสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากให้สามารถเข้าถึงข้อมูลองค์ความรู้และผลประโยชน์ที่ชุมชนจะได้รับจากโรงไฟฟ้าชุมชนฯ เกิดความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องในการขับเคลื่อนโรงไฟฟ้าชุมชนฯ ให้เกิดขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพและได้รับการยอมรับจากชุมชน

   ในส่วนของวิสาหกิจชุมชนนั้นได้เปิดรับสมาชิกวิสาหกิจชุมชนครบแล้ว 200 ราย พร้อมสร้างความมั่นใจ ความเข้าใจให้กับสมาชิกวิสาหกิจชุมชน ซึ่งส่วนใหญชาวบ้านมีอาชีพปลูกอ้อย ปลูกมันสำปะหลัง และบางส่วนปลูกหญ้าเนเปียร์เพื่อเลี้ยงปศุสัตว์อยู่ ทางวิสาหกิจชุมชนจึงมีความตื่นเต้นกับการสร้างโรงไฟฟ้าชุมชนฯ เป็นอย่างมาก เพราะนอกจากจะมีตลาดรองรับหญ้าเนเปียร์ในรูปของเกษตรพันธะสัญญานานถึง 20 ปีแล้ว แต่ละวิสาหกิจชุมชนยังได้รับผลประโยชน์ตอบแทนจากการได้ถือหุ้นบุริมสิทธิอีก 10%

   นายเตชธรรม แย้มพงษ์ ที่ปรึกษา กลุ่มวิสาหกิจชุมชนเกษตรยั่งยืนบ้านหนองกวาง เปิดเผยว่าในปัจจุบันสมาชิกวิสาหกิจชุมชนหลายรายที่ปลูกหญ้าเนเปียร์เพื่อขายปศุสัตว์มีรายได้เฉลี่ย 24,000-25,000 บาท/ไร่/ปี ในขณะที่ปลูกอ้อยนั้นมีรายได้เฉลี่ย 12,000 บาท/ไร่/ปี แต่ต้นทุนในการปลูกอ้อยกับปลูกหญ้ากลับใกล้กันคือ 10,000 บาท/ไร่/ปี เมื่อมีโรงไฟฟ้าชุมชนฯ มารับซื้อก็จะยิ่งทำให้มีตลาดเพิ่ม ทำให้คาดหมายได้ว่าในอนาคตจะมีผู้หันมาปลูกหญ้าเนเปียร์กันมากขึ้น

   นางนิตยา ชุ่มภักดี เจ้าของแปลงหญ้าเนเปียร์รายหนึ่ง เปิดเผยว่า ตนเองปลูกหญ้าเนเปียร์ เพื่อการเลี้ยงปศุสัตว์ ปัจจุบันมีรายได้เฉลี่ย 30,000 บาท หากโรงไฟฟ้าชุมชนฯ เปิดดำเนินการ ตนก็จะลดพื้นที่ปลูกอ้อยมาปลูกหญ้าแทน

   นายอดิศักดิ์ ชูสุข ผู้อำนวยการกองวิจัย ค้นคว้าพลังงาน กล่าวในตอนท้ายว่า ปัจจุบันมีผู้ประกอบการโรงไฟฟ้าชุมชนฯ ที่ผ่านการคัดเลือกเพียง 43 แห่ง ซึ่งในอนาคตจะต้องมีจำนวนโรงไฟฟ้าชุมชนฯเพิ่มขึ้นมากกว่านี้ ทำให้มีความต้องการหญ้าเนเปียร์จำนวนมาก ประกอบกับเป็นเกษตรพันธะสัญญาที่มั่นคงถึง 20 ปี ทำให้มีโอกาสเป็นไปได้ที่จะมีการลดพื้นที่เพาะปลูกพืชเศรษฐกิจที่มีปัญหาด้านราคาไม่แน่นอน อย่างอ้อย ข้าวและข้าวโพด อาจจะส่งผลให้ในอนาคตเมื่อการผลิตลดลง กลับจะทำให้ผลผลิตพืชเศรษฐกิจเหล่านั้นมีราคาสูงขึ้น เป็นผลดีต่อการเกษตรโดยรวมของประเทศ

###